ReadyPlanet.com


จารีตประเพณีภาคอีสาน


ประเพณีภาคอีสาน วัฒนธรรมภาคอีสาน ประเพณีไทยที่สำคัญ

จารีตภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งพิธีกรรมตามขนบประเพณีของชาวอีสาน เชื่อมอีกทั้งกับความศรัทธาในอำนาจเว้นแต่ธรรมชาติรวมทั้งพุทธทักษิณนิกาย มีทั้งพิธีกรรมอันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นสิ่งปฏิบัติและก็จารีตที่ตั้งมั่นสืบต่อกันมา

 
ฮีตสิบสอง หมายถึงจารีต 12 เดือนที่เกี่ยวเนื่องกับหลักทางพุทธ ความเชื่อถือและการดำนงชีพทางทำการกสิกรรมซึ่งชาวอีสานถือมั่นปฏิบัติกันมาแต่โบราณ มีแนวปฏิบัติแตกต่างกันไปในแต่ละเดือนเพื่อเกิดมงคลสำหรับในการครองชีพ เรียกอย่างประเทศว่างานบุญ ชาวอีสานให้ความเอาใจใส่กับจารีตฮีตสิบสองเป็นอย่างยิ่งและตั้งมั่นปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอนับเป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสานอย่างแท้จริง
คำว่า “ฮีตสิบสอง” มาจากคำว่า “ฮีต” อันหมายถึงจารีต พฤติกรรมที่สืบต่อกันมาจนกระทั่งกลายเป็นขนบประเพณี “สิบสอง” เป็นจารีตที่ปฏิบัติตามเดือนทางจันทรคติทั้งยังสิบสองเดือน
 
เดือนอ้าย : บุญเข้าบาป
งานบุญเดือนอ้ายหรือเดือนเจียง พระสงฆ์จะประกอบพิธีเข้าบาปหรือที่เรียกว่า”เข้าปริวาสบาป” เพื่อทำจ่ายบาปติดตัวที่ได้ล่วงละเมิดพระกฎระเบียบเป็น จะต้องบาปสังฆาทิเสส การอยู่กรรมนั้นจะใช้เวลา 6-9 วันในระหว่างนี้เองประชากรจะเตรียมอาหาร หวานคาวนำไปมอบให้พระทั้งยังรุ่งอรุณและจากนั้นก็เพล เพราะว่าการอยู่กรรมควรต้องอยู่ในบริเวณสงบ เป็นต้นว่า ชายป่าหรือที่ห่างไกลชุมชน(หรืออาจเป็นที่สงบในบริเวณวัดก็ได้) พลเมืองที่นำอาหารไปมอบให้ภิกษุในระหว่างอยู่กรรมนี้แน่ใจว่าจะทำให้ได้บุญกุศลเยอะแยะ
 
ที่มาของพิธีบูชา
เพื่อลงทัณฑ์ภิกษุผู้ควรต้องบาปสังฆาทิเสส จำต้องเข้าปริวาสบาป ก็เลยจะพ้นจากความผิดหรือพ้นโทษเปลี่ยนไปภิกษุ ผู้มีศีล บริสุทธิ์อยู่ในพุทธต่อไป คำ “เข้าปริวาสธรรม” นี้ภาษาลาวรวมทั้งไทอีสานตัดคำ “ปริวาส” ออกเหลือเป็น “เข้าบาป” ด้วยเหตุนี้บุญเข้าบาปก็คือ “บุญเข้าปริวาสบาป” นั่นเอง
 
พิธีกรรม ภิกษุผู้ต้องบาปหมวดสังฆาทิเลสที่จะเข้าอยู่ปริวาสบาป เพื่อชำระล้างความมัวหมองของศีลให้แก่เฒ่าเองต้องไปขอปริวาสจากภิกษุ เมือพระภิกษุอนุญาติแล้วจึงมาจัดสถานที่ที่จะเข้าอยู่ปริวาสบาป เมื่อจัดแจงสถานที่เรียบร้อยแล้ว ภิกษุจะต้องบาปสังฆาทิเสสข้อใดข้อหนึ่งจึงควรอยู่ปริวาส (การอยู่ค้างคืน) แล้วก็จำเป็นที่จะต้องกระทำตนการปฏิบัติ (การกระทำการจำศีล) ต่างๆตัวอย่างเช่น ละเว้นใช้สิทธิบางสิ่งลดฐานะและประจานตนเอง เพื่อเป็นการลงโทษตนเอง โดยจึงควรกระทำตัวการปฏิบัติให้ครบจำนวนวันที่ปกปิดบาปนั้นๆเพื่อทุเลาตนจากความผิดพลาดสังฆาทิเสส รวมทั้งจำเป็นจะต้องไปพบ “พระจตุรวรรค” (เป็นภิกษุสี่รูปขึ้นไป) เพื่อจะขอ “มานัต” และมีภิกษุอีกรูปหนึ่งจะสวดมนตร์ประกาศให้มานัตแล้ว ภิกษุผู้จำเป็นต้องข้อผิดพลาดสังฆาทิเสสจำเป็นจะต้องประพฤติมานัตอีก 6 คืน แล้วพระผู้บริสุทธิ์ก็เลยจะเรียกเข้าพวกกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อไป
 
เดือนยี่ บุญคูนลานหรือบุญคูนข้าว (วัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
บุญคูนลานหรือบุญคูนข้าวเป็นพิธีกรรมคบหาสมาคมภายหลังเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยว พลเมืองรู้สึกยินดีที่สำเร็จผลิตมากมาย ก็เลยมุ่งมาดปรารถนาทำบุญสุนทานโดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาสวดมนต์ไหว้พระในลานข้าวแล้วก็ในบางพื้นที่จะมีการสู่ขวัญข้าวเพื่อพบปะความอุดมสมบูรณ์ กล่าวขอบพระคุณมากๆแม่โพสพและจากนั้นก็ขอประทานโทษที่ได้ดูถูกเหยียดหยาม พื้นดินในระหว่างแนวทางการทำท้องนา เพื่อความเป็นสิริมงคลรวมถึงเห็นผลผลิตเป็นสองเท่าในปีถัดไป
 
สิ่งที่ทำให้เกิดพิธีกรรม
ต้นเหตุของพิธีกรรมทำบุญสุนทานคูนข้าวหรือบุญคูนลาน เพราะเมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จจะหาบฟ่อนข้าวมารวมกันเป็น “ลอนข้าว” ไว้ที่นาของตนเอง หากลอมข้าวของเครื่องใช้ใครกันแน่สูงใหญ่ก็แสดงให้ผู้คนที่ผ่านไปมารู้ว่านาทุ่งนั้นเป็นนาดี ผู้เป็นเจ้าของก็ดีหัวใจ หายเหนื่อยอารมณ์เบิกบานอยากทำบุญสุนทานปลูกข้าวน เพื่อโชคดีบุญกุศลส่งให้ในปีหน้าจะสำเร็จผลิตข้าวเพิ่มมากขึ้นอีก เรียกว่า “คูนให้ใหญ่ให้สูงขึ้น” เพราะว่าคำว่า “คูณ” นี้มาจาก “ค้ำคูณ” มันก็คืออุดหนุนให้ดีขึ้น ช่วยทำให้ปรับเจริญขึ้น
 
พิธีกรรม ผู้ประสงค์จะทำบุญสุนทานคูนข้าวหรือบุญคูนลาน จำเป็นจะต้องจัดสถานที่ทำบุญสุนทานที่ “ลานนวดข้าว” ของตนโดยนิมนต์พระภิกษุมารุ่งเรืองพุทธมนต์มีการวางด้าย สายสิญจน์แล้วหลังจากนั้นก็ปักเฉลวรอบกองข้าว เมื่อพระสงฆ์เจริญรุ่งเรืองพุทธมนต์เสร็จและก็จะมอบของกินเลี้ยงเพลแก่พระ จากนั้นนำข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงญาติผู้มาร่วมทำบุญ เมื่อพระฉันเสร็จก็จะโปรยปรายน้ำพุทธมนต์ให้กองข้าว ให้เจ้าภาพและจากนั้นก็ทุกคนที่มาร่วมทำบุญกุศล แล้วท่านก็จะอำนวยพรผู้จัดงานก็จะนำน้ำมนต์ที่เหลือไปโปรยปรายให้แก่วัว ควาย ตลอดจนที่นาเพื่อความเป็นศรีมงคล และก็แน่ใจว่าผลของการทําบุญสุนทานจะช่วยอุดหนุนเพิ่มพูนให้ได้ข้าวมากยิ่งขึ้นทุกๆปี
 
เดือนสาม บุญข้าวปิ้ง
บุญข้าวปิ้งเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกิดขึ้นจากความสมัครสมานสามัคคีของชุมชนประชาชนจะนัดหมายกันมาทำบุญสุนทานร่วมกันโดยช่วยเหลือเจือจานกันปลูกผามหรือปะรำเตรียมการไว้ในตอนบ่าย ครั้นเมื่อถึงรุ่งแจ้งในวันต่อมาประชาชนจะช่วยเหลือเจือจานกันปิ้งข้าว หรือปิ้งข้าวรวมทั้งตักบาตรข้าวปิ้งร่วมกัน ต่อมาจะให้มีการแสดงธรรมนิทานชาดกเรื่องนางปุณณลงสีเป็นเสร็จพิธีกรรม
ต้นเหตุของพิธีบูชา
 
สาเหตุจากความไว้ใจทางพุทธ เนื่องจากสมัยพุทธกาล มีนางลูกน้องชื่อปุณณลงสี ได้นำแป้งข้าวปิ้ง(แป้งทำขนมจีน)ไปมอบให้พระพุทธเจ้า แม้ว่าจิตใจของนางคิดว่า อาหารหวานแป้งข้าวปิ้งเป็นของหวานของผู้ต่ำต้อย พระพุทธเจ้าบางทีอาจไม่ฉัน ซึ่งพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตใจนาง ก็เลยทรงฉันแป้งข้าวปิ้ง ทำให้นางชอบใจพึงพอใจ ชาวอีสานก็เลยเอาแบบอย่างแล้วก็พากันทำแป้งข้าวปิ้งมอบให้พระมาตลอด ทั้งเพราะในเดือนสามอากาศของภูมิภาคอีสานกำลังอยู่ในฤดูหนาว ในเวลาเช้าผู้คนจะใช้ฟืนก่อไฟ ผิงแก้หนาว พลเมืองจะเขี่ยรักดีออกมาไว้ด้านหนึ่งของกองไฟแล้วนำข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อนกลมโรยเกลือวางลงบนถ่านไฟแดงๆนั้นเรียกว่า ข้าวปิ้ง ซึ่งมีกลิ่นหอม ผิวไหม้เกรียมกรอบน่ารับประทานทำให้คนึงถึงภิกษุ ผู้บวชอยู่วัดต้องการให้ได้รับประทานบ้าง ก็เลยมีการทำบุญทำกุศลข้าวปิ้งขึ้น ดังมีคำบอกเล่าว่า “เดือนสามค้อย เจ้าเหนือหัวรอคอยปั้นข้าวปิ้ง ข้าวปิ้งบ่มีน้ำอ้อย จัวน้อยเช็ดน้ำตา” (เพียงพอถึงสิ้นเดือนสาม ภิกษุก็คอยปั้นข้าวปิ้ง แม้ข้าวปิ้งไม่มีน้ำอ้อยยัดไส้ เณรน้อยเช็ดน้ำตา)
 
พิธีบูชา พอเพียงถึงวัดนัดหมายทำบุญสุนทานข้าวปิ้งทุกครอบครัวในหมู่บ้านจะเตรียมการข้าวปิ้งตั้งแต่ตอนยามเช้าของวันนั้นเพื่อข้าวปิ้งสุกทันใส่บาตรจังหัน เว้นแต่ว่าข้าวปิ้งรวมทั้งจะนำ “ข้าวเขียบ” (ข้าวเกรียบ) ถึงแม้ว่ายังไม่ปิ้งเพื่อพระเณรปิ้งกินเองและก็ที่ปิ้งไฟจนกระทั่งโป่งพองใส่ถาดไปด้วยพร้อมจัดกับข้าวไปมอบให้พระที่วัด ข้าวปิ้งบางก้อนคนที่เป็นเจ้าของได้ยัดไส้ด้วยน้ำอ้อย แล้วทาด้วยไข่ เพื่อเกิดรสหวานหอมเชื้อเชิญรับประทาน ครั้นเมื่อถึงห้องเช่าแจกหรือศาลาโรงธรรมพระสามเณรทั้งหมดในวัดจะลงศาลาที่ญาติโยมที่มารวมกันอยู่บนศาลาก่อนแล้วประธานในพิธีกรรมเป็นผู้ขอศีล ภิกษุอวยพร ญาติโยมรับศีล แล้วกล่าวคำมอบข้าวปิ้ง และจากนั้นก็จะนำข้าวปิ้งใส่บาตรพระ ซึ่งตั้งเรียงไว้เป็นแถวเท่าจำนวนพระเณร พร้อมกับมอบปิ่นโต สำรับของคาวหวาน เมื่อพระฉันจังหันเทศน์เสร็จแล้วก็ให้พร ญาติโยมรับพรเป็นเสร็จพิธีกรรม
 
เดือนสี่ บุญผะเหวด
“บุญผะเหวด” เป็นสำเนียงชาวอีสานที่มาจากคำว่า “บุญพระเวส”หรือพระเวสสันดร เป็นจารีตตามคติความเชื่อถือของชาวอีสานที่ว่า หากแม้ผู้ใดได้ฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรอีกทั้ง 13 กัณฑ์จบภายในวันเดียว จะได้เกิดร่วมชาติโลกกับพระศรีอริยเมตไตย บุญผะเหวดนี้จะทำต่อเนื่องกันสามวัน วันแรกจัดแจงสถานที่ ตกแต่งศาลาการเปรียญวันที่สองเป็นวันฉลองพระเวสสันดร
 
สามัญชนร่วมทั้งพระภิกษุจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมาร่วมพิธีกรรมมีทั้งการจัดขบวนวัตถุทานฟังธรรมและก็แห่พระเวส โดยการแห่ผ้าผะเหวด(ผ้าผืนยาวเขียนภาพเล่าพระเวสสันดร) ซึ่งสมมุติเป็นการแห่พระเวสสันดรไปสู่เมือง เมื่อถึงเวลาเย็นจะมีเทศน์เรื่องพระพวงดอกไม้ ส่วนวันที่สามเป็นงานกุศลพิธีกรรม ประชาชนจะร่วมกันตักบาตรข้าวพันก้อน พิธีกรรมจะมีไปจนถึงเย็น พลเมืองจะกลุ้มรุม ร่ายรำตั้งขบวนเรียงรายตั้งกัณฑ์มามอบให้ พระจะเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดกจนตราบเท่าจบและก็แสดงธรรมอานิพระอีกกัณฑ์หนึ่ง ก็เลยเสร็จพิธีกรรม
 
ต้นเหตุของพิธีกรรม
จากเรื่องในหนังสือมาไลยหมื่นมาไลยแสนกล่าวว่ากาลครั้งหนึ่งพระพวงดอกไม้เถระได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุเกษแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วก็ได้พบปะสนทนากับพระศรีอริยเมนไตย ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้วหลังจากนั้นก็พระศรีอริยเมตไตยได้สั่งความมากับพระพวงดอกไม้ว่า
“ถ้ามนุษย์ต้องการจะพบและร่วมเกิดในศาสนาของท่านแล้วจำเป็นจะต้องประพฤติตัวดังต่อไปนี้เป็น”
1. จะต้องอย่าฆ่าพ่อตีแม่สมที่พราหมณ์
2. ควรจะอย่าทำร้ายพระพุทธเจ้า รวมถึงยุยงให้พระพระสงฆ์บาดหมางกัน
3. ให้ตั้งใจฟังแสดงธรรมเรื่อง พระเวสสันดรให้จบในวันเดียวตามที่ ชาวอีสานต้องการจะได้พบพระศรีอริยเมตไตยและก็เกิดร่วมศาสนาของท่าน ก็เลยมีการทําบุญสุนทานผะเหวด ซึ่งเป็นประจำทุกปี
พิธีกรรม การเตรียมงาน
1. แบ่งหนังสือ นำหนังสือลำผะเหวดหรือลำมหาชาติ (หนังสือเรื่องพระเวสสันดรชาดก) ซึ่งมีจำนวน 13 กัณฑ์ (หรือ 13 ผูกใหญ่) แบ่งเป็นผูกเล็กๆพอกับจำนวนพระเณรที่จะนิมนต์มาแสดงธรรมในตอนนั้นๆ
2. การใส่หนังสือ นำหนังสือผูก เล็กที่แบ่งออก จากกัณฑ์ต่างๆ13 กัณฑ์ ไปนิมนต์พระเณรทั้งวัดในหมู่บ้านตนเองรวมทั้งจากวัด ในหมู่บ้านอื่นที่อยู่ใกล้เคียงให้มาเทศน์ โดยจะมีใบฎีกาบอกรายละเอียดวันเวลาเทศน์ ตลอดจนบอกเจ้าเลื่อมใส ผู้ที่จะเป็นเจ้าของกัณฑ์นั้นๆไว้ด้วย
3. การจัดแบ่งเจ้าเลื่อมใส เพื่อพระเณรท่านแสดงธรรมจบในแต่ละกัณฑ์ ผู้เป็นเจ้าไว้ใจก็จะนำเครื่องต้นเหตุไทยทานไปมอบตามกัณฑ์ที่ตนเองรับผิดชอบ สามัญชนจะแบ่งกันออกเป็นกรุ๊ปๆเพื่อรับเป็นเจ้าเลื่อมใสกัณฑ์เทศร่วมกัน โดยจำเป็นจะต้องหาบ้านพัก ข้าวปลาอาหารไว้คอยเลี้ยงต้อนรับญาติโยมที่ติดตามพระเณร จากหมู่บ้านอื่นเพื่อมาแสดงธรรมผะเหวดครั้งนี้ด้วย
4. การเตรียมสถานที่พัก พวกพลเมืองจะพากันชำระล้างบริเวณวัดแล้วช่วยเหลือซึ่งกันและกัน “ปลูกเขาหินม” หรือ ปะรำไว้บริเวณรอบๆวัด เพื่อใช้เป็นที่จะต้องรับพระเณรแล้วก็ญาติโยมผู้ติดตามพระเณรจากหมู่บ้านอื่น ให้เป็นที่ค้างแรมรวมทั้งที่เลี้ยงข้าวปลาอาหาร
5. การจัดเครื่องคำกริยาบูชาหรือเครื่องครุพัน สำหรับในการทำบุญทำทานผะเหวดนั้นสามัญชนจำเป็นจะต้องจัดแจง “เครื่องฮ้อยเครื่องพัน” หรือ “ของเซ่นไหว้คาถาพัน” มีธูปหนึ่งพันดอก เทียนหนึ่งพันเล่ม ดอกบัวโป้ง (บัวหลวง) ดอกบัวแป้ (บัวผัน) ดอกบัวทอง (บัวสาย) ดอกผักตบ แล้วหลังจากนั้นก็ดอกก้างของ (ดอกปีบ) อย่างละหนึ่งพันดอก เมี่ยง หมากอย่างละหนึ่งพันคำ มวนยาดูดหนึ่งพันมวน ข้าวตอกแตกใส่กระทงหนึ่งพันกระทง ธุโลภระดาษ (ธงกระดาษ) หนึ่งพันธง
 


ผู้ตั้งกระทู้ กิตติจร :: วันที่ลงประกาศ 2023-03-07 13:39:40


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2013 All Rights Reserved.