รูปแบบการใช้เสียงเพื่อเป็นตัวช่วยในการค้นหา SEO

รูปแบบการค้นหาด้วยเสียง หรือ Voice Search  ส่งผลกระทบต่อเทรนด์ SEO 2566 และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ในปัจจุบันอย่างมาก อ่านต่อ รวมถึงการเติบโตของเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่รองรับเสียงเป็นต้น เช่น สมาร์ทสปีกเกอร์ อุปกรณ์ที่สามารถค้นหาด้วยเสียง เช่น ลำโพง เครื่องเล่นเพลงดิจิทัล พวกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้ค้นหา และจะมีผลกระทบต่อวิธีการทำ SEO รวมถึงการเผยแพร่เนื้อหาออนไลน์

เสียงคือสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นด้วยการค้นหาเสียง : รูปแบบการค้นหาด้วยเสียงเกิดขึ้นจากการใช้เสียงพูดเพื่อค้นหาข้อมูลบนเครื่องมือค้นหา เช่น อุปกรณ์สมาร์ทโฟน อุปกรณ์อัตโนมัติในบ้าน หรือแท็บเล็ต ผู้ใช้งานสามารถที่จะสั่งคำถามหรือสั่งข้อความโดยใช้เสียงพูด และเครื่องมือค้นหาจะวิเคราะห์และตอบกลับด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ผลกระทบต่อการทำ SEO : การเปลี่ยนแปลงในการค้นหาด้วยเสียงมีผลกระทบใหญ่ต่อวิธีการทำ SEO และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ต่อไปนี้คือวิธีการปรับให้ SEO เข้ากับการค้นหาด้วยเสียงในปัจจุบัน ได้แก่

1.  รูปแบบการใช้คำสำคัญที่มีความคล้ายคลึงกับคำถามที่พูดด้วยเสียง : ผู้ค้นหาเมื่อใช้เสียงพูดในการค้นหา มักใช้ภาษาคนแบบธรรมดา ที่มีการใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ มีความคล้ายคลึงกับการพูดจริง เฉพาะนั้นนักการตลาด SEO ควรใช้คำสำคัญที่มีความใกล้เคียงกับคำถามที่คนพูด

2.  การสร้างเนื้อหาที่กำหนดคำถามไว้เริ่มต้น : เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาด้วยเสียง การสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์คำถามที่ผู้ค้นหามักใช้เป็นจุดเริ่มต้นจะมีประสิทธิภาพมากยิ่ง

3.  การสร้าง Snippet ที่น่าสนใจ : เมื่อเว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาด้วยเสียง ข้อมูลที่แสดงใน Snippet จะมีความสำคัญมาก เนื้อหาที่เข้ากับคำถามและมีความน่าสนใจอาจทำให้ผู้ค้นหามีความสนใจในการคลิกเข้าไปในเว็บไซต์

4. การออพติไมซ์เนื้อหาบนเวอร์ชันสมาร์ทโฟน : เนื้อหาบนเวอร์ชันสมาร์ทโฟนควรถูกออพติไมซ์ให้เข้ากับการใช้งานบนอุปกรณ์พกพา และมีความเร็วในการโหลดที่ดี เนื่องจากผู้ใช้งานที่ใช้เสียงในการค้นหามักมีความเร่งความเร็วในการรับข้อมูล

5.  การให้ความสำคัญกับ Local SEO : การค้นหาด้วยเสียงมักมีลักษณะที่ผู้ใช้งานต้องการข้อมูลที่ใกล้เคียง การทำ Local SEO จึงมีความสำคัญมาก เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาเมื่อผู้ค้นหาค้นหาสถานที่ท้องถิ่น

6.  การใช้ Schema Markup : Schema Markup ช่วยในการเพิ่มความเข้าใจให้กับเครื่องมือค้นหาเกี่ยวกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ นักการตลาด SEO ควรใช้ Schema Markup เพื่อปรับปรุงการแสดงผลในผลการค้นหาด้วยเสียง

7.  การอัปเดต Google My Business รวมถึีงข้อมูลท้องถิ่นอยู่บ่อย ๆ : เว็บไซต์ที่มีการอัปเดตข้อมูลบน Google My Business และรูปแบบข้อมูลท้องถิ่นที่เป็นข้อมูลสามารถตอบโจทย์การค้นหาด้วยเสียงในเชิงท้องถิ่นได้อย่างมาก

8.  การเพิ่มเติมเนื้อหาคำถามที่คนถามบ่อย : การเพิ่มเนื้อหาที่ตอบโจทย์คำถามที่คนถามบ่อยในเว็บไซต์สามารถช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาด้วยเสียงได้มากยิ่ง

9.  รูปแบบการปรับแผนการตลาด : การปรับแผนการตลาดให้เหมาะสมกับการค้นหาด้วยเสียงเป็นสิ่งสำคัญ เฉพาะนั้นนักการตลาด SEO จึงควรที่ปรับเปลี่ยนแผนการตลาดและกลยุทธ์ในการทำ SEO อยู่บ่อยๆ เพื่อเข้ากับพฤติกรรมการค้นหาใหม่ในปัจจุบัน

10.  รูปแบบการวิเคราะห์และปรับแผน : หลักการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมเกี่ยวกับการค้นหาด้วยเสียงจะช่วยให้นักการตลาด SEO สามารถปรับเปลี่ยนแผนการตลาดและกลยุทธ์ทำ SEO ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน

การค้นหาด้วยเสียงมีผลกระทบใหญ่ต่อวิธีการทำ SEO และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ การปรับแผนการตลาดและการทำ SEO เพื่อเข้ากับการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ การใช้คำสำคัญที่ใกล้เคียงกับคำถามที่คนพูด การสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์คำถามและสร้าง Snippet ที่น่าสนใจ เป็นเพียงบางส่วนในกลยุทธ์ที่สามารถใช้เพื่อปรับให้ SEO เข้ากับการค้นหาด้วยเสียงในปัจจุบัน นักการตลาด SEO ควรทำการวิเคราะห์และปรับแผนการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพในการปรากฏในผลการค้นหาด้วยเสียงอย่างมีประสิทธิภาพและก้าวไปอย่างมั่นคงในยุคที่การค้นหาด้วยเสียงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น